25 มีนาคม 2554

ยาที่ใช้รักษา SLE :Cyclophosphamide

Cyclophosphamide (ไซโคลฟอสฟาไมด์)


 
กล่าวโดยสรุป

 ขอบงใช  

ใชในมะเร็งตอมนํ้าเหลืองชนิด Hodgkin’s  และ non-Hodgkin’s lymphoma,  มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด

Chronic lymphocytic  leukemia  และ Chronic granulocytic  leukemia,  มะเร็งไขกระดูก

(multiple myeloma) มะเร็งเตานม   และมะเร็งรังไข


 ขนาดยาที่ใชตอวัน

เด็ก: SLE ใหทาง IV 500-750 mg./m2 ทุกเดือน ขนาดสูงสุด 1 g./m2

        Vasculitis ใหทาง IV 10 mg./kg ทุก 2 สัปดาห

ผูใหญและเด็ก:

- ใหทางปาก ขนาด 50-100 mg/m2/d continuous หรือ 400-1000 mg/m2 intermittent แบงใหนานกวา 4-5 วัน

- ให IV: single dose 30-50 mg/kg  สามารถใหยาซํ้าทุก 2-4  สัปดาห 
ขนาดสูงสุดสําหรับผูที่ไมปลูกถายไขกระดูก คือ 190 mg/kg

- continuous daily dose: 1-2.5 mg/kg/d

- autologous bone marrow transplantation: IVPB: 50 mg/kg/dose 4  วัน หรือ 60mg/kg/dose 2 วัน 
โดยมากขนาดยาทั้งหมดมักจะแบงใหนานกวา 2-4 วัน

- ควรปรับขนาดยาในผูปวยโรคไต

ขนาดยาที่มีใช  50 mg/tab, 200 mg. inj

Pregnancy risk factor D

ขอหามใช

1. หญิงตั้งครรภ

2. ผูปวยที่แพยา Cyclophosphamide

ผลขางเคียงของยา

- ผมรวง (หลังจากใชยาไปแลว 3 สัปดาห) คลื่นไสอาเจียน (ขนาดที่สูง) นอกจากนี้ยังพบอาการเบื่ออาหาร ทองรวง ปวดทองได

- มีผลตอไขกระดูก (Myelosuppressive) (1-10%)  ทําใหจํานวนเม็ดเลือดขาวและจํานวนเกล็ดเลือดลดลง ซึ่งภาวะ

เหลานี้จะคืนกลับภายใน 21 วัน

นอกจากนี้ทําใหเกิด  อาการปวดศีรษะ เปนผื่นคันที่ผิวหนัง และรอนวูบวาบบริเวณใบหนาได

อาการพิษจากยา การไดรับยาเกินขนาด จะกดไขกระดูก ผมรวง คลื่นไสอาเจียน

การแกไขอาการพิษ รักษาตามอาการ

ปฏิกิริยาตอกันของยาที่สําคัญ

1. ลดประสิทธิภาพยา Digoxin

2. เพิ่มพิษยา Allopurinol, Anesthetic agent, Chloramphenicol, Cimetidine, Doxorubicin,

Phenobarbital, Phenytoin และ Thiazide diuretic

คําแนะนําแกผูปวย

1. ใหรับประทานยาขณะทองวาง หากมีหากมีอาการคลื่นไสอาเจียนเกิดขึ้นใหรับประทานยาพรอมอาหาร

2. ควรรายงานแพทยหากมีอาการดังตอไปนี้มีเลือดออกหรือมีจํ้าเลือดผิดปกติ    มีอาการไข ไอตลอดเวลา, congestion,shortness of breath, 
มีอาการปวดขอ ปวดทอง มีอาการออนเพลียผิดปกติเบื่ออาหารหรือนํ้าหนักลด

3. ควรมีการคุมกําเนิดในระหวางการรักษา

Picture from nature.com/nri/journal/v6/n2/fig_tab/nri1779_

คำอธิบายรายละเอียดพอสังเขป



ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) เป็นอนุพันธ์ของไนโทรเจนมัสทาร์ด (nitrogen mustard derivatives) อยู่ในรูปสารที่ไม่ออกฤทธิ์  

เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นสารออกฤทธิ์ที่ตับโดยเอนไซม์ cytochrome P450 สารออกฤทธิ์ของไซโคลฟอสฟาไมด์คือฟอสโฟราไมด์ มัสทาร์ด (phosphoramide mustard) ซึ่งออกฤทธิ์โดยจับกับส่วนประกอบในสายดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่สำคัญ ทำให้เซลล์มะเร็งมีการเชื่อมสายดีเอ็นที่ผิดปกติ (DNA cross-link) และทำให้เซลล์มะเร็งตาย

ไซโคลฟอสฟาไมด์ ใช้รักษาโรคมะเร็งต่าง เช่น

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (malignant lymphomas) ,
โรคฮอดจ์กิน (Hodgkin’s disease), 
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocytic lymphoma),  
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮีสทิโอไซต์ (histiocytic lymphoma) เป็นต้น
มะเร็งไขกระดูกของพลาสมาเซลล์ (multiple myeloma)

มะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) : มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์แบบเรื้อรัง (chronic lymphocytic leukemia), มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดแกรนูโลไซต์แบบเรื้อรัง(chronic granulocytic leukemia), มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์และโมโนไซต์แบบเฉียบพลัน (acute myelogenous and monocytic leukemia),  
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟบลาสท์แบบเฉียบพลัน (acute lymphoblastic leukemia) ในเด็ก

ไมโคซิส ฟังกอยดีส (mycosis fungoides) อีกชื่อหนึ่งของ cutaneous T-cell lymphoma
มะเร็งเส้นประสาท (neuroblastoma)
มะเร็งรังไข่ชนิดอะดิโนคาร์ซิโนมา (adenocarcinoma of the ovary)
มะเร็งจอตา (retinoblastoma)
มะเร็งเต้านม

ไซโคลฟอสฟาไมด์ อาจใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็งอื่นๆได้อีก 

 ดังนั้นหากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา

การแพ้ยา

โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใดๆหรือมี ประวัติการแพ้ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide)หรือ ส่วนประกอบใด ในยานี้ รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่น เช่น อาหาร, สารกันเสีย, สี เป็นต้น

อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องระวัง

ยาเคมีบำบัดมีผลต่อไขกระดูกทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ควรรับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกเเล้วใหม่ ควรงดรับประทานผักสด หรือผลไม้ที่รับประทานทั้งเปลือก หากต้องการรับประทานควรล้างให้สะอาดและปอกเปลือกก่อนรับประทาน
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ระหว่างใช้ยานี้

การใช้ในหญิงตั้งครรภ์ 

D Catagory

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'D' สำหรับสตรีมีครรภ์  กล่าวคือ ยามีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ 

 อย่างไรก็ตาม อาจใช้ยานี้ได้ หากพิจารณาแล้วว่าประโยชน์จากการใช้ยามีมากกว่าความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นการพิจารณาใช้ยาให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

โปรดแจ้งแก่แพทย์หากกำลังวางแผนจะมีบุตร เนื่องจากยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) อาจทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตหรือเกิดทารกวิรูปได้เมื่อให้ยาในหญิงตั้งครรภ์ สตรีวัยเจริญพันธุ์ควรใช้วิธีคุมกำเนิดระหว่างใช้ยานี้


กำลังให้นมบุตร

ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) สามารถผ่านออกทางน้ำนมได้ โปรดแจ้งแก่แพทย์หากท่านกำลังให้นมบุตร หรือตั้งใจจะให้นมบุตรในระหว่างที่ได้รับยา เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง จึงไม่แนะนำให้ทารกได้รับน้ำนมมารดาระหว่างใช้ยานี้



เด็ก
 ข้อมูลด้านความปลอดภัยของการใช้ยาในผู้ป่วยเด็กไม่แตกต่างจากการใช้ยาในผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่

ผู้สูงอายุ

ควรใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุด้วยความระมัดระวัง และแพทย์อาจมีการปรับขนาดยาในผู้ป่วยประเภทนี้


ยาอื่นที่ใช้อยู่

ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังใช้ยาต่อไปนี้ร่วมอยู่ด้วย

แอมโฟเทอริซิน บี (amphotericin B)        
ยาต้านไทรอยด์ (antithyroid agents)
คลอแรมเฟนิคอล (chloramphenicol)      
คอลชิซีน (colchicine)
ฟลูไซโทซีน (flucytosine)           
แกนไซโคลเวียร์ (ganciclovir)
อินเทอเฟียรอน (interferon)        
เมโทเทรกเซต (methotrexate)
พลิคามัยซิน (plicamycin)          
ซิโดวูดีน (zidovudine)
โคเคน (cocaine)          
ไซทาราบีน (cytarabine)
แอซาไทโอพรีน (azathioprine)    
คลอแรมบิวซิล (chlorambucil)
คอร์ติโคสเตอรอยด์ (corticosteroids)      
ไซโคลสพอริน (cyclosporine)
เมอร์แคปโทเพียวรีน (mercaptopurine)   
โพรเบเนซิด (probenecid)
ซัลฟินไพราโซน (sulfinpyrazone)
อัลโลพูรินอล (allopurinol)          
ดิจอกซิน (digoxin)
เอทาเนอเซบท์ (etanercept)       
ไอโดรคลอโรไทอาไซด์ (hydrochlorothiazide)
อินโดเมทาซิน (indomethacin)    
เนวิราพีน (nevirapine)
ออนแดนซีทรอน (ondansetron)  
เซนต์จอห์นเวิร์ธ (St John’s Wort)
ทามอกซิเฟน (tamoxifen)          
ทราสทูซูแมบ (trastuzumab)
วอร์ฟาริน (warfarin)
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดตัวเป็น (influenza virus vaccine, live)
วัคซีนโรคหัดชนิดตัวเป็น (measles virus vaccine, live)
วัคซีนโรคคางทูมชนิดตัวเป็น (mumps virus vaccine, live) 
วัคซีนโรคโปลิโอชนิดตัวเป็น (poliovirus vaccine, live)
วัคซีนโรตาไวรัสชนิดตัวเป็น (rotavirus vaccine, live)         
วัคซีนโรคหัดเยอรมันชนิดตัวเป็น (rubella virus vaccine, live)
วัคซีนโรคฝีดาษ (smallpox vaccine)       
วัคซีนไทฟอยด์ (typhoid vaccine)
วัคซีนโรคอีสุกอีใส (varicella virus vaccine)        
วัคซีนไข้เหลือง (yellow fever vaccine)
วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG vaccine)






ปัญหาความเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) ท่านควรแจ้งแพทย์หากท่านมีภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น

โรคอีสุกอีใส หรือ
โรคงูสวัด อาจทำให้โรครุนแรงขึ้น
โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
ภาวะเลือดจาง หรือ
โรคติดเชื้อต่างๆ ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) จะลดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
โรคตับหรือไต


การใช้ที่ถูกต้อง

ยานี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

ระหว่างได้รับยานี้ ท่านควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) อาจทำให้ท่านมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หากทนไม่ได้ ท่านต้องแจ้งแพทย์หรือพยาบาลที่ดูแล

ในขณะที่ได้รับยาควรดื่มน้ำให้มาก ประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน เว้นแต่ว่าได้รับการจำกัดน้ำ และปัสสาวะบ่อย เพื่อลดโอกาสเกิดอาการข้างเคียงต่อกระเพาะปัสสาวะ

ควรมาตรวจตามแพทย์นัดเพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะ และให้ได้รับยาตามแผนการรักษา การได้ยาไม่ครบ หรือระยะเวลาไม่ตรงกำหนด ก่อให้เกิดผลเสียต่อการรักษา ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนระยะเวลาการให้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง

ยาเม็ด

กลืนยาทั้งเม็ดแล้วดื่มน้ำตามมาก ไม่ควรเคี้ยว บด หรือแบ่งเม็ดยา

ยาฉีด

สารละลายยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) เตรียมโดยเภสัชกร ใช้สำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรืออาจจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ, เข้าช่องท้อง หรือช่องเยื่อหุ้มปอด โดยแพทย์หรือพยาบาลผู้มีความเชี่ยวชาญในการให้ยาเคมีบำบัด

ขนาดยา

ขนาดยาของยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น น้ำหนัก ส่วนสูงของผู้ป่วย ชนิดและระยะของโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยเป็น รวมทั้งผลการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละราย  
โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้วิเคราะห์ แนะนำ และกำหนดเวลา และมีเภสัชกรผู้เตรียมยาเคมีบำบัด ตรวจสอบขนาดยาที่ท่านได้รับ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย  

นอกจากนี้ความถี่ของการให้ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย เช่น ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน บางครั้งอาจต้องหยุดยาชั่วคราว เพื่อให้ร่างกายมีเวลาพัก และซ่อมแซมเซลล์ปกติให้แข็งแรงพอที่จะให้ยาในครั้งต่อไปได้

เมื่อลืมใช้ยา

หากท่านลืมรับประทานยาข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยา ปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า และแจ้งให้แพทย์ทราบ


การเก็บรักษา

เก็บยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) ในภาชนะบรรจุจากผู้ผลิต ไว้ใที่อุณหภูมิ 25° องศาเซลเซียส
ป้องกันแสง
เก็บในภาชนะปิดสนิทให้พ้นมือเด็ก
ทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ


ข้อควรระวัง

ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) มีผลต่อไขกระดูกทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และเม็ดเลือดแดงลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย หรือภาวะเลือดออกง่าย

ควรหลีกเลี่ยงการพบปะกับคนที่เป็นหวัด หัด สุกใส วัณโรค มีไข้ หรือติดเชื้ออื่นๆ  

หากมีอาการผิดปกติ ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่น ปัสสาวะแสบขัด เจ็บคอ ท้องเสีย เหนื่อยหอบผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ และแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าท่านกำลังรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอยู่

ระหว่างที่ได้รับการรักษาด้วยยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) ท่านไม่ควรได้รับวัคซีนใด โดยไม่ได้แจ้งแพทย์ เนื่องจากยาทำให้ภูมิคุ้มกันของท่านลดลง และมีโอกาสติดเชื้อจากวัคซีนที่ท่านได้รับ  

นอกจากนี้บุคคลที่ท่านอาศัยอยู่ด้วยก็ไม่ควรได้รับวัคซีนโปลิโอ เพราะอาจทำให้ท่านได้รับเชื้อไวรัสโปลิโอได้

ควรพบแพทย์ทันทีถ้าท่านมีเลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ควรระมัดระวังการใช้ไหมขัดฟัน หรือไม้จิ้มฟัน และแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งว่าใช้ยานี้อยู่

มะเร็งอื่นๆ (second malignancies) อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) เดี่ยวๆ หรือร่วมกับยาต้านมะเร็งชนิดอื่น โดยส่วนมากมักเกิดกับกระเพาะปัสสาวะ และระบบการสร้างเม็ดเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ และมักพบในผู้ป่วยที่ได้รับยาเพื่อรักษามะเร็งของเม็ดเลือดหรือโรคทางภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่ใช้ยาในระยะยาว โดยอาจเกิดหลังจากหยุดยาไปแล้วหลายปีก็ได้

ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) รบกวนการสร้างไข่ (oogenesis) และการสร้างอสุจิ (spermatogenesis) จึงทำให้เกิดภาวะเป็นหมันได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ใช้ยา โดยขึ้นอยู่กับขนาดยา ,ระยะเวลาที่ใช้ยา และภาวะการทำงานของต่อมเพศในขณะที่ได้รับยา และยาไซโคลฟอสฟาไมด์มักทำให้เกิดภาวะไม่มีประจำเดือนในช่วงที่ใช้และยาหลังจากที่หยุดยาแล้วก็อาจทำให้มีบุตรยากหรือเป็นหมันถาวร

ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide) อาจทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีเลือดออก (hemorrhagic cystitis) เนื่องจากยาเปลี่ยนเป็นสารที่ชื่อว่า อะโครเลอิน (acrolein) ซึ่งขับออกทางปัสสาวะและทำลายเยื่อบุทางเดินปัสสาวะ 

ซึ่งป้องกันได้โดยการดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อยๆ ไม่กลั้นปัสสาวะ เพื่อลดระยะเวลาที่อะโครเลอินสัมผัสกับทางเดินปัสสาวะ และยังสามารถใช้ยาเมสนา (mesna) เพื่อป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีเลือดออกได้
อาการไม่พึงประสงค์

ยาอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับผู้ใช้ยาทุกราย แต่หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม


. แจ้งแพทย์หรือพยาบาลผู้ดูแลทันทีหากมีอาการต่อไปนี้

พบบ่อยมาก
 ไอหรือเสียงแหบ, ไข้หรือสั่น , ปวดบั้นเอว, ประจำเดือนขาด, ปัสสาวะแสบขัด

การรับยาขนาดสูง และ/หรือเป็นเวลานาน
ปัสสาวะเป็นเลือด, สับสน,ภาวะกายใจไม่สงบ, หัวใจเต้นเร็ว, ปวดข้อ, อ่อนเพลียผิดปกติ

พบน้อย
อุจจาระดำหรือมีเลือดปน ,มีเลือดออกผิดปกติหรือมีจ้ำเลือด

พบน้อยมาก
ปัสสาวะบ่อย, ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีดยา, แผลในปาก, ตัวเหลือง ตาเหลือง

. อาการไม่พึงประสงค์อื่น อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา  
อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้จะหายไปในระหว่างการรักษาหรือหยุดยาไปแล้วเนื่อง จากร่างกายจะปรับตัวเข้ากับยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถ้าอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนาน หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของท่าน

พบบ่อยมาก
 ผิวหนัง หรือเล็บมีสีคล้ำขึ้น , เบื่ออาหาร, คลื่นไส้อาเจียน

พบไม่บ่อย
ท้องร่วง หรือปวดท้อง, ปวดศีรษะ, เหงื่อออกมาก, ผื่นลมพิษ

ยานี้อาจทำให้ผมร่วงขณะใช้ยา หลังจากหยุดยาแล้วผมจะกลับมางอกตามปกติ

. อาการข้างเคียงอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางราย หากท่านสังเกตเห็นอาการข้างเคียงอื่น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร


กลุ่มยา

ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้  Alkylating agents, antineoplastic agents

ยาที่เกี่ยวข้อง

ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้

Busulfan, Carmustine , Chlorambucil , Dacarbazine, Ifosfamide, Melphalan, Mitomycin or Mitomycin-C , Temozolomide

ชื่อทางการค้า
 ยานี้มีชื่อทางการค้าต่อไปนี้

Cycloxan injection (โซโคลซาน ยาฉีด),
Cycloxan tablet (โซโคลซาน ยาเม็ด),
Alkyloxan inj. (อัลคิลอแซน ยาฉีด),
Endoxan 1 g. injection (เอนด๊อกซาน 1 กรัม ยาฉีด),
Endoxan 200 mg injection (เอนด๊อกซาน 200 มก. ยาฉีด),
 Endoxan 500 mg injection (เอนด๊อกซาน 500 มก. ยาฉีด),
Oncomide 200 injection (ออนโคไมด์ 200 ยาฉีด),
Endoxan tablet (เอนด๊อกซาน ยาเม็ด),
Ledoxan tablet (ลีโดซาน ยาเม็ด),
Onkophos 200 injection (ออนโคฟอส 200 ยาฉีด),
 Onkophos 500 injection (ออนโคฟอส 500 ยาฉีด),
Onkophos 1000 injection (ออนโคฟอส 1000 ยาฉีด),
 Oncomide 1000 injection (ออนโคไมด์ 1000 ยาฉีด),
Oncomide 500 injection (ออนโคไมด์ 500 ยาฉีด)

ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อทางการค้าอื่นที่ไม่ได้แสดงในนี้ หรือชื่อทางการค้าที่แสดงในนี้อาจจะไม่อนุญาตให้จำหน่ายแล้ว

ที่มาของข้อมูล : healthy.in.th/drug/cyclophosphamide ร่วมเขียนโดย ไตรรัตน์ แก้วเรือง
ตรวจสอบโดย โพยม วงศ์ภูวรักษ์
เขียนเมื่อ 06 กันยายน 2553 แก้ไขล่าสุดเมื่อ 12 ธันวาคม 2553