อาการตามระบบ | พยาธิสภาพ | การรักษา |
อาการทั่วไป | อาการไข้ อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด | อาจพิจารณาให้ NSAIDsขนาดตํ่า ร่วมกับให้ antimalarial drug ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา มีไข้สูง อ่อนเพลียมาก อาจพิจารณาให้ยา corticosteroids ในขนาดตํ่า |
ระบบผิวหนังและเยื่อบุ | อาการแสดงทางผิวหนังในผู้ป่วย SLE สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ 1. ผื่นที่พบเฉพาะในโรค SLE แบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ - ผื่นชนิดเฉียบพลัน (acute cutaneous LE) - ผื่นชนิดกึ่งเฉียบพลัน (subacute cutaneous LE) - ผื่นชนิดเรื้อรัง (chronic cutaneous or discoid LE) 2. ผื่นที่ไม่จําเพาะสําหรับ SLE ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดนี้พบได้ในโรค SLE และโรคอื่น ๆ เช่น ผื่นแพ้แดด จุดเลือดออก ผมร่วง ผื่นจากหลอดเลือดอักเสบ ผื่น urticarial vasculitis, และแผลในปาก | Acute และ subacute cutaneous LE รักษาโดย - ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 15 ขึ้นไป - Corticosteroids ครีม เช่น 0.02% triamcinolone acetonide ทาบริเวณผิวหนังที่บาง เช่น ใบหน้า, 0.1% triamcinolone acetonide ทาบริเวณผิวหนังทั่วไป - Antimalarial drugs - ในรายที่รุนแรง เป็นมาก หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาจให้ corticosteroids ในขนาดตํ่า, dapsone (100 mg/day), หรือยากดภูมิคุ้มกัน Discoid LE รักษาโดย - ให้การรักษาคล้ายกับ acute cutaneous LE - ฉีด Corticosteroids ที่บริเวณรอยโรคโดยใช้ 5-10 mg ของ triamcinolone acetonide (ไม่ควรเกิน 10 mg/ครั้ง) |
Oral ulcer - Corticosteroids ครีมป้ายแผลในปาก - Antimalarial drugs - ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอาจให้รับประทาน prednisolone ในขนาด 15-30 mg/day Cutaneous vasculitis - รับประทานยาในกลุ่ม Corticosteroids ขนาดปานกลาง - รับประทานยา dapsone หรือ colchicine (ขนาด 0.6 mg วัน ละ 2 ครั้ง) - ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาให้พิจารณาให้ยากด ภูมิคุ้มกันร่วมด้วย |
อาการตามระบบ | พยาธิสภาพ | การรักษา |
ระบบข้อ | อาการปวดข้อ | ให้ยา NSAIDs หรือให้ยาแก้ปวด paracetamol |
ข้ออักเสบ | ข้ออักเสบ ควรให้ยา NSAIDs ในรายที่มีข้ออักเสบเรื้อรังควรให้ยา Antimalarial drugs ร่วมด้วยเสมอ รายที่มีข้ออักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาดังกล่าวข้างต้นอาจใช้ Corticosteroids ในขนาดตํ่า หรือยากดภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ methotrexate ร่วมด้วย ผู้ป่วยที่ข้ออักเสบเป็นเรื้อรัง ควรแนะนําทํากายภาพบําบัดร่วมด้วยเสมอ | |
ปวดตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ | ให้ยา NSAIDs ร่วมกับการทํากายภาพบำบัด | |
ระบบกล้ามเนื้อ | ปวดกล้ามเนื้อ | ให้ยา NSAIDs |
กล้ามเนื้ออักเสบ (myositis) | ให้รับประทาน prednisolone ในขนาดปานกลางถึงขนาดสูง แล้วแต่ความรุนแรงของอาการ ในรายที่เมื่อได้รับยาไปประมาณ 4-6 สัปดาห์แล้วยังตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี ควรพิจารณาเพิ่มยากดภูมิคุ้มกัน ร่วมกับการทํากายภาพบําบัด | |
ระบบหัวใจ | เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ | ถ้ามีแต่อาการเจ็บหน้าอก ให้ใช้ยา NSAIDs ในกรณีที่มีนํ้าในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ควรพิจารณาให้รับประทาน prednisolone ในขนาดปานกลาง (0.5 mg/kg/day) ในรายที่เยื่อหุ้มหัวใจหนามาก ควรพิจารณาตัดเยื่อหุ้มหัวใจออก(pericardiectomy) |
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อบุหัวใจหรือลิ้นหัวใจอักเสบ หลอดเลือดหัวใจ coronary อักเสบ | ใช้ Corticosteroids ในขนาดสูงในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตอบ สนองไม่ดีเท่าที่ควรภายใน 4 สัปดาห์ ควรให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclophosphamide, azathioprine หรือ methotrexate ร่วมด้วยในรายที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวให้ทําการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย | |
ระบบประสาท | มีอาการชัก | ให้ยากันชักร่วมด้วย |
มีภาวะทางจิต | ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ร่วมกับการให้ยาทางโรคจิต เช่น Phenobarbital หรือ dipheylhydantoin | |
ภาวะไขสันหลังอักเสบ (transverse myelitis) | ให้ยา intravenous pulse Corticosteroids หรือเทียบเท่า และควรให้การรักษาแบบรีบด่วนทันที ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 2 สัปดาห์ ควรพิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกัน (ควรให้เป็น intravenous pulse) |
อาการตามระบบ | พยาธิสภาพ | การรักษา |
ระบบทางเดินอาหาร | เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (serositis) | ให้การรักษาด้วยยา NSAIDsหรือ Corticosteroids ในขนาดตํ่าหรือปานกลางแล้วแต่ความรุนแรง |
ตับอ่อนอักเสบ | ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง และให้การรักษาภาวะตับอ่อนอักเสบร่วมด้วย | |
เส้นเลือดทางเดินอาหารอักเสบ (mesenteric vasculities) | ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่ไม่ตอบ สนองต่อการรักษาภายใน 1-2 สัปดาห์ ให้พิจารณา ให้ยากดภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะยา cyclophosphamide ทางหลอดเลือดดําร่วมด้วย ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนลําไส้ตายจากการขาดเลือด ต้องอาศัยการผ่าตัดร่วมด้วย | |
ตับอักเสบ (hepatitis) | ให้รักษาด้วย Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรืออาการรุนแรงอาจพิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกันร่วมด้วย | |
ระบบไต | Lupus nephritis แบ่งเป็น3กลุ่ม 1. Mild มี proteinuria น้อยกว่า 1 g/24 hrs, inactive urine sediment, การทํ างานของไตปกติ (serum creatinine < 1.5 mg/dL) ความดันโลหิตปกติ | ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่จําเป็นต้องให้การรักษาในด้านของโรคไต แต่จําเป็นต้องคอยติดตามผู้ป่วยเป็นระยะ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพของไต(transformation) ได้ |
2. Moderate (proteinuria มากกว่า 1 g/24 hrs, การทํ างานของไตปกติ) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการเลือกวิธีรักษามากที่สุด | ควรให้การรักษาวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้ - สเตียรอยด์ในขนาดสูง (prednisolone 1 mg/kg/day หรือ 40-60 mg /day) เป็นเวลา 4-8 สัปดาห์หรือ - Prednisolone 0.5 mg/kg/day หรือ 30 - 40 mg /day ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น azathioprine, cyclophosphamide เป็นเวลา 4 - 8 สัปดาห์ | |
3. Severe active lupus nephritis ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการทํางานของไตเสื่อมลง (serum Cr > 1.5 mg/dL) ร่วมกับมีactive urinary sediment, proteinuria > 1 กรัม/24 ชม. และมักมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยพยาธิสภาพของไต | จํ าเป็นต้องรักษาอย่างเต็มที่และรวดเร็วที่สุด ก่อนที่จะมีการทําลายเนื้อไตมากยิ่งขึ้นไปอีกและเกิดเป็นพยาธิสภาพที่ถาวรแก้ไขไม่ได้ โดยการให้ pulse intravenous cyclophosphamide ร่วมกับ prednisolone ขนาดปานกลาง (0.5 mg/kg/day) ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ควรส่งต่อผู้ป่วยหรือขอคําปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง |
อาการตามระบบ | พยาธิสภาพ | การรักษา |
ระบบเลือด | Hemolytic anemia | 1. ผู้ป่วยที่มี Hb<10 g/dL ให้รับประทาน prednisolone เริ่มต้นในขนาด 1 mg/kg/day ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษา ให้เริ่มลดยาเมื่อ Hb > 10 g/dL โดยลดยาในอัตรา 5-10 mg/wks ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีความจําเป็นต้องคงระดับของยาขนาดตํ่าเช่น 10 mg/day อยู่เป็นระยะเวลาหลายเดือน เพื่อรักษาระดับ Hb ตามเป้าหมาย 2. การให้เลือด พิจารณาในกรณีที่มีปัญหาจากโลหิตจางรุนแรง ได้แก่ โลหิตจางรุนแรง เช่น Hb<4 g/dL หรือมีcerebro หรือ cardiovascular problems เช่น CHF, การเปลี่ยนแปลงในระดับของรู้สติ เป็นต้น รูปแบบของเลือดที่ให้คือ packed red cells ให้ครั้งละ 1 -2 ยูนิต โดยให้ช้า ๆ และเฝ้าระวังปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น |
Autoimmune thrombocytopenia | 1. กรณีที่เกร็ดเลือด < 50,000/mm3 หรือมีปัญหา traumatic bleeding หรือจําเป็นต้องได้รับการผ่าตัดให้prednisolone ขนาด 1 mg/kg/day ซึ่งอัตราการตอบสนองประมาณร้อยละ 80 เกิดขึ้นภายใน 3 สัปดาห์ เป้าหมายการรักษาอยู่ที่ระดับเกร็ดเลือด >50,000/mm3 ซึ่งเมื่อถึงเป้าหมายให้ลดยาลงในอัตรา 5-10 mg/wks ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีความจําเป็นต้องคงระดับของยาในขนาดตํ่า เช่น 10 mg/day อยู่เป็นระยะหลายเดือน เพื่อรักษาระดับเกร็ดเลือดตามเป้าหมาย ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อ Corticosteroids อาจจะพิจารณา azathioprine หรือ cyclophosphamide ในขนาด 1-2 mg/kg/day เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งอาจจะใช้ร่วมกับ prednisolone ในขนาดตํ่า ๆ 2. กรณีที่เกร็ดเลือด < 10,000/mm3 ต้องรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยมี fresh purpura หรือมีmucosal bleeding ร่วมด้วย ซึ่งการรักษาเริ่มต้นควรใช้ dexamethasone 5 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดําทุก 6 ชม. จนระดับเกร็ดเลือดเพิ่มขึ้น จึงเปลี่ยนเป็น prednisolone ดังกล่าวข้างต้น 3. ผู้ป่วยที่มีเลือดออกรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น เลือดออกในสมอง เลือดออกมาก ควรรับไว้ในโรงพยาบาล ให้ dexamethasone 5-10 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดําทุก 6 ชม. หรือ pulse methylprednisolone ร่วมกับการให้เกร็ดเลือดอย่างน้อย 4 ยูนิต แล้วส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อ | |
ปอดอักเสบและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ | ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะ pulmonary hemorrhage หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา ให้พิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclophosphamide หรือ azathioprine ร่วมด้วย | |
ภาวะ interstitial lung disease | ถ้ายังมีการอักเสบอยู่ ให้รักษาโดยการให้ Corticosteroids ในขนาดปานกลางร่วมกับ antimalarial drugs หรือยากดภูมิคุ้มกัน เช่น azathioprine หรือ cyclophophamide |