28 สิงหาคม 2553

สรุปการให้การดูแลและรักษาผู้ป่วยโรค SLE



 



 เอกสารอ้างอิง

1.    วิทยา  ศรีมาดา.Evidence-base clinical practice guideline. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548

2.    วิลาสินี หิรัญพานิช, ปวิตรา พูลบุตร, อธิกา จารุโชติกมล, จันทร์ทิพย์ กาญจนศิลป์.เภสัชวิทยา2. มหาสารคาม: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2547.

3.    สุรศักดิ์   นิลกานุวงศ์, สุรวุฒิ   ปรีชานนท์.ตำราโรคข้อ เล่มที่หนึ่ง.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: เอส พี เอ็น การพิมพ์ จำกัด, 2544

4.    Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug information handbook. 13thed. Ohio:  Lexi-Comp Inc; 2005.





26 สิงหาคม 2553

คำแนะนําในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย SLE


1.   สําหรับผู้ป่วยที่มีอาการแพ้แสงแดด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ตั้งแต่ช่วง 10.00 .- 16.00.ถ้าจําเป็นให้กางร่ม หรือใส่หมวก สวมเสื้อแขนยาวและใช้ยาทากันแดดที่ป้องกันแสงอุลตราไวโอเลตได้ดี

2.     พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำงานหนักจนเกินไป

3.    หลีกเลี่ยงความตึงเครียด โดยพยายามฝึกจิตใจให้ปล่อยวาง ไม่หมกมุ่น ทําใจยอมรับกับโรคและปัญหาอื่นๆที่เกิดขึ้นและค่อยๆแก้ปัญหาต่าง ๆ ตามลําดับ

4.    ออกกําลังกายให้สมํ่าเสมอให้พอเหมาะกับโรค เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น


5.    ไม่รับประทานอาหารที่ไม่สุก หรือไม่สะอาด เพราะจะมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ ง่าย เช่น พยาธิต่าง ๆ หรือแบคทีเรีย โดยเฉพาะไทฟอยด์

6.     ดื่มนมสด และอาหารอื่น ๆ ที่มีแคลเซียมสูง เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน

7.     รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว




8.     ไม่รับประทานยาเองโดยไม่จําเป็น เพราะยาบางตัวอาจทําให้โรคกําเริบได้

9.     ป้องกันการตั้งครรภ์ขณะโรคยังไม่สงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกําลังได้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเม็ด ยาฉีดคุมกําเนิด ซึ่งมีแอสโตรเจน เพราะอาจทําให้โรคกําเริบได้ ถ้าจําเป็นต้องใช้ อาจใช้ยาเม็ดคุมกําเนิดที่มีเอสโตรเจนขนาดตํ่า และไม่ควรใช้วิธีใส่ห่วงด้วย เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าคนปกติ

10.   เมื่อโรคอยู่ในระยะสงบสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และขณะตั้งครรภ์ควรมารับการตรวจอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะบางครั้งโรคอาจกําเริบขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

11.    หลีกเลี่ยงจากสถานที่แออัดที่มีคนหนาแน่น ที่ที่อากาศไม่บริสุทธิ์ และไม่เข้าใกล้ผู้ที่กําลังเป็นโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด เพราะจะมีโอกาสติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย




12.     ถ้ามีลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น มีฝีตุ่มหนองตามผิวหนัง ไอเสมหะเหลืองเขียว ปัสสาวะแสบขัด ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

13.     ห้ามหยุดยาที่รักษากระทันหัน โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์

14.     หากรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ ให้หยุดยานี้ชั่วคราวในระหว่างที่มีการติดเชื้อ

15.     มาตรวจตามแพทย์นัดอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อประเมินภาวะของโรค และเพื่อปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสม


16.      ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการของโรคกําเริบ ให้มาพบแพทย์ก่อนนัด เช่น มีอาการไข้เป็น ๆ หาย ๆ อ่อนเพลีย นํ้าหนักลดบวม ผมร่วง ผื่นใหม่ ๆ ปวดข้อ เป็นต้น

17.     ควรตรวจสุขภาพฟันสมํ่าเสมอ ถ้ามีการทําฟัน ถอนฟัน ให้รับประทานยาปฏิชีวนะก่อนและหลังการทําฟันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้โดยปรึกษาแพทย์


การติดตามการรักษาในผู้ป่วย SLE


1. ติดตามอาการของโรคและผลข้างเคียงของการรักษาบ่อย ๆ 
          เช่น ทุก 2- 4 สัปดาห์ ในขณะที่โรคกําลังมีอาการรุนแรง และทุก 2-3 เดือน หากโรคอยู่ในระยะสงบ ในผู้ที่มีอาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 2-3 เดือน หรือในกรณีอาการรุนแรงมาก และไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 2 - 4 สัปดาห์ ควรส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ

2. ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

          -   CBC, blood smear examination และ ESR
          -   Urinalysis
          -   Chest X-ray
          -   FBS, Cr, liver function และ serum albumin
          -   ANA และ Anti-ds DNA

25 สิงหาคม 2553

การรักษาภาวะแทรกซ้อนของ SLE

ผู้ป่วย SLE อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายประการ ได้แก่

1. การติดเชื้อ 

     พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุการตายที่สําคัญการติดเชื้อที่พบมักเป็นการติดเชื้อที่ ผิวหนัง ปอด ทางเดินอาหาร และทางเดินปัสสาวะ เชื้อที่พบบ่อยคือ เชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ salmonella แต่เชื้อรา ไวรัส และ parasite ก็เกิดได้บ่อยขึ้น ระหว่างการติดเชื้อควรลดขนาด Corticosteroids ลง หรือให้ในขนาดเท่าที่จําเป็นจะควบคุมโรคได้ (แต่บางครั้งต้องควบคุมโรคติดเชื้อให้ได้ดีเสียก่อน ภาวะของโรค SLE เองจึงจะลดลง) สําหรับยากดภูมิคุ้มกัน ควรงดไปก่อนจนกว่าจะควบคุมการติดเชื้อได้

2. กระดูกตายจากการขาดเลือด(avascular necrosis of bone) 

From : http://www.zimmer.co.uk/web/images/anatomy/hips/TraumaticArthritisHip1.jpg
      เกิดได้บ่อยในผู้ป่วย SLE มักเกี่ยวข้องกับการใช้ Corticosteroids เป็นเวลานานหรือขนาดสูง พบได้ร้อยละ 10-15 ในผู้ป่วยที่ได้ Corticosteroids นาน > 3 -4 ปี หรือพบในรายที่มี antiphospholipid antibodies การรักษาเป็นการรักษาตามอาการ กายภาพบําบัดและหรือผ่าตัดเปลี่ยนข้อ หากเป็นกับข้อที่รับนํ้าหนัก นอกจากนี้ต้องพยายามลดขนาดของ Corticosteroids ให้เหลือน้อยที่สุด หรือหยุด Corticosteroids หากเป็นไปได้

3.    ภาวะความดันโลหิตสูง 

From : http://health.allrefer.com/health/hypertension-untreated-hypertension.html
      มักเกิดจากไตอักเสบ หรือจากการได้รับ Corticosteroids ขนาดสูงเป็นเวลานาน ๆ จําเป็นต้องให้ยาลดความดันเพื่อควบคุมให้ดี มิฉะนั้นจะเป็นสาเหตุสําคัญอีกประการหนึ่งที่ทําให้เกิดไตวายมากขึ้น

4.    ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดจากยาที่ใช้รักษา 

From : http://sleepaides.blogspot.com/2009/09/sleep-aide-4-sleep-disorders-exposed.html
      โดยเฉพาะ Corticosteroids เช่น อาการนอนไม่หลับ กระวนกระวาย มือสั่น หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการนอน เหล่านี้ให้การรักษาตามอาการก็เพียงพอ และพยายามลดขนาดของยาลงหากเป็นไปได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงถึงขนาดมีอาการทางจิตให้ใช้ยาต้านโรคจิต (antipsychotic drug) ร่วมด้วย นอกจากนี้มีถ้าเกิดภาวะเบาหวานจาก Corticosteroids โปแตสเซี่ยมในเลือดตํ่า ตาเป็นต้อกระจก หรือกระดูกพรุน ก็ให้การรักษาไปตามปกติของแต่ละปัญหา

5. ภาวะ antiphospholipid syndrome

From : http://www.uspharmacist.com/CMSImagesContent/2008/1/0108AntiPhosFigure1.jpg

      เป็นภาวะที่เกิดจากการมี antiphospholipid antibody ในเลือด ทําให้เกิดเส้นเลือดอุดตันทั้งเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดําในอวัยวะต่าง ๆ การรักษาให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด โดยการให้ยา heparin ในระยะแรกประมาณ 2 สัปดาห์แล้วเปลี่ยนมาให้ยา warfarin โดยคุมให้ INR มีค่าประมาณ 3 เท่าของค่าปกติ อาจร่วมกับการให้Aspirinในขนาดตํ่า ระยะเวลาในการให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดยังไม่เป็นที่ตกลงว่าควรให้นานเท่าไร แต่ไม่ควรน้อยกว่า 6 เดือน ในรายที่เส้นเลือดอุดตันเกิดขึ้นในบริเวณที่อันตรายต่อชีวิตหรือเป็นเส้นเลือดใหญ่ แนะนํา ให้ยากันการแข็งตัวของเลือดไปตลอดชีวิต


เอกสารอ้างอิง

1.    วิทยา  ศรีมาดา.Evidence-base clinical practice guideline. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548
2.    วิลาสินี หิรัญพานิช, ปวิตรา พูลบุตร, อธิกา จารุโชติกมล, จันทร์ทิพย์ กาญจนศิลป์.เภสัชวิทยา2. มหาสารคาม: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2547.
3.    สุรศักดิ์   นิลกานุวงศ์, สุรวุฒิ   ปรีชานนท์.ตำราโรคข้อ เล่มที่หนึ่ง.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: เอส พี เอ็น การพิมพ์ จำกัด, 2544



การให้การรักษาผู้ป่วย SLE ระหว่างตั้งครรภ์

          การกำเริบของโรคพบได้ตลอดการตั้งครรภ์ และมีรายงานการศึกษามากมายกล่าวถึงผลของ SLE ต่อการตั้งครรภ์ พอสรุปได้ดังนี้
1. การแท้งบุตร
2. Preeclampsia และ eclampsia 
3. ภาวะทารกโตช้า (intrauterine growth retardation :IUGR)
4. การคลอดก่อนกำหนด(premature delivery)
         ผู้ป่วย SLE ที่ตั้งครรภ์และตรวจพบ aPL (antiphospholipid antibodies) จะมีโอกาสเป็น antiphospholipid syndrome (APS) เสี่ยงต่อการแท้งบุตรและ Preeclampsia เพิ่มขึ้น

From:http://biomed.brown.edu/Courses/BI108/BI108_2008_Groups/group06/pages/costeffectiveness.html

-------------------------------------------------------------------------


แผนภูมิการให้การรักษาผู้ป่วย SLE ระหว่างตั้งครรภ์



------------------------------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง

  1. http://biomed.brown.edu/Courses/BI108/BI108_2008_Groups/group06/pages/costeffectiveness.html
  2. วิทยา  ศรีมาดา.Evidence-base clinical practice guideline. พิมพ์ครั้งที่3 กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548
  3. วิลาสินี หิรัญพานิช, ปวิตรา พูลบุตร, อธิกา จารุโชติกมล, จันทร์ทิพย์ กาญจนศิลป์.เภสัชวิทยา2. มหาสารคาม: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2547.
  4. สุรศักดิ์   นิลกานุวงศ์, สุรวุฒิ   ปรีชานนท์.ตำราโรคข้อ เล่มที่หนึ่ง.พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: เอส พี เอ็น การพิมพ์ จำกัด, 2544
  5. Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug information handbook. 13thed. Ohio:  Lexi-Comp Inc; 2005.

24 สิงหาคม 2553

แนวทางการให้การดูแลและรักษาตามอวัยวะที่มีพยาธิสภาพจาก SLE (ต่อ)

    
อาการตามระบบ
พยาธิสภาพ
การรักษา









ระบบเลือด
Hemolytic anemia

1. ผู้ป่วยที่มี Hb<10 g/dL ให้รับประทาน prednisolone เริ่มต้นในขนาด 1 mg/kg/day ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษา ให้เริ่มลดยาเมื่อ Hb > 10 g/dL โดยลดยาในอัตรา 5-10 mg/wks ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีความจําเป็นต้องคงระดับของยาขนาดตํ่าเช่น 10 mg/day อยู่เป็นระยะเวลาหลายเดือน เพื่อรักษาระดับ Hb ตามเป้าหมาย
2. การให้เลือด พิจารณาในกรณีที่มีปัญหาจากโลหิตจางรุนแรง ได้แก่ โลหิตจางรุนแรง เช่น Hb<4 g/dL หรือมีcerebro หรือ cardiovascular problems เช่น CHF, การเปลี่ยนแปลงในระดับของรู้สติ เป็นต้น รูปแบบของเลือดที่ให้คือ packed red cells ให้ครั้งละ 1 -2 ยูนิต โดยให้ช้า ๆ และเฝ้าระวังปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น
Autoimmune thrombocytopenia

1. กรณีที่เกร็ดเลือด < 50,000/mm3 หรือมีปัญหา traumatic bleeding หรือจําเป็นต้องได้รับการผ่าตัดให้prednisolone ขนาด 1 mg/kg/day ซึ่งอัตราการตอบสนองประมาณร้อยละ 80 เกิดขึ้นภายใน 3 สัปดาห์ เป้าหมายการรักษาอยู่ที่ระดับเกร็ดเลือด >50,000/mm3 ซึ่งเมื่อถึงเป้าหมายให้ลดยาลงในอัตรา 5-10 mg/wks ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีความจําเป็นต้องคงระดับของยาในขนาดตํ่า เช่น 10 mg/day อยู่เป็นระยะหลายเดือน เพื่อรักษาระดับเกร็ดเลือดตามเป้าหมาย ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อ Corticosteroids อาจจะพิจารณา azathioprine หรือ cyclophosphamide ในขนาด 1-2 mg/kg/day เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งอาจจะใช้ร่วมกับ prednisolone ในขนาดตํ่า ๆ
2. กรณีที่เกร็ดเลือด < 10,000/mm3 ต้องรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยมี fresh purpura หรือมีmucosal bleeding ร่วมด้วย ซึ่งการรักษาเริ่มต้นควรใช้ dexamethasone 5 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดําทุก 6 ชม. จนระดับเกร็ดเลือดเพิ่มขึ้น จึงเปลี่ยนเป็น prednisolone ดังกล่าวข้างต้น
3. ผู้ป่วยที่มีเลือดออกรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น เลือดออกในสมอง เลือดออกมาก ควรรับไว้ในโรงพยาบาล ให้ dexamethasone
5-10 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดําทุก 6 ชม. หรือ pulse methylprednisolone ร่วมกับการให้เกร็ดเลือดอย่างน้อย 4 ยูนิต แล้วส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อ


ปอดอักเสบและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะ pulmonary hemorrhage หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา ให้พิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclophosphamide หรือ azathioprine ร่วมด้วย
ภาวะ interstitial lung disease

ถ้ายังมีการอักเสบอยู่ ให้รักษาโดยการให้ Corticosteroids ในขนาดปานกลางร่วมกับ antimalarial drugs หรือยากดภูมิคุ้มกัน เช่น azathioprine หรือ cyclophophamide

แนวทางการให้การดูแลและรักษาตามอวัยวะที่มีพยาธิสภาพที่เกิดจาก SLE

        
            
อาการตามระบบ
พยาธิสภาพ
การรักษา
อาการทั่วไป

อาการไข้ อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด
อาจพิจารณาให้ NSAIDsขนาดตํ่า ร่วมกับให้ antimalarial drug ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา มีไข้สูง อ่อนเพลียมาก อาจพิจารณาให้ยา corticosteroids ในขนาดตํ่า
ระบบผิวหนังและเยื่อบุ

อาการแสดงทางผิวหนังในผู้ป่วย SLE สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
1. ผื่นที่พบเฉพาะในโรค SLE แบ่งได้เป็น 3 แบบ คือ
-   ผื่นชนิดเฉียบพลัน
 (acute cutaneous LE)
ผื่นชนิดกึ่งเฉียบพลัน
(subacute cutaneous LE)
ผื่นชนิดเรื้อรัง
(chronic cutaneous or discoid LE)






2. ผื่นที่ไม่จําเพาะสําหรับ SLE ผื่นผิวหนังอักเสบชนิดนี้พบได้ในโรค SLE และโรคอื่น ๆ เช่น ผื่นแพ้แดด จุดเลือดออก ผมร่วง ผื่นจากหลอดเลือดอักเสบ ผื่น urticarial vasculitis, และแผลในปาก

Acute และ subacute cutaneous LE
รักษาโดย
-  ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 15 ขึ้นไป
-  Corticosteroids ครีม เช่น 0.02% triamcinolone  acetonide ทาบริเวณผิวหนังที่บาง เช่น ใบหน้า, 0.1% triamcinolone acetonide ทาบริเวณผิวหนังทั่วไป
-  Antimalarial drugs
ในรายที่รุนแรง เป็นมาก หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาจให้ corticosteroids ในขนาดตํ่า,
dapsone (100 mg/day), หรือยากดภูมิคุ้มกัน
 Discoid LE รักษาโดย
ให้การรักษาคล้ายกับ acute cutaneous LE
ฉีด Corticosteroids ที่บริเวณรอยโรคโดยใช้ 5-10 mg ของ triamcinolone acetonide (ไม่ควรเกิน 10 mg/ครั้ง)
Oral ulcer
- Corticosteroids ครีมป้ายแผลในปาก
-  Antimalarial drugs
- ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอาจให้รับประทาน
   prednisolone ในขนาด 15-30 mg/day
Cutaneous vasculitis
รับประทานยาในกลุ่ม Corticosteroids ขนาดปานกลาง
- รับประทานยา dapsone หรือ colchicine (ขนาด 0.6 mg วัน
   ละ 2 ครั้ง)
- ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาให้พิจารณาให้ยากด
   ภูมิคุ้มกันร่วมด้วย



อาการตามระบบ
พยาธิสภาพ
การรักษา



ระบบข้อ


อาการปวดข้อ
ให้ยา NSAIDs หรือให้ยาแก้ปวด paracetamol
ข้ออักเสบ
 ข้ออักเสบ ควรให้ยา NSAIDs ในรายที่มีข้ออักเสบเรื้อรังควรให้ยา Antimalarial drugs ร่วมด้วยเสมอ
รายที่มีข้ออักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาดังกล่าวข้างต้นอาจใช้ Corticosteroids ในขนาดตํ่า หรือยากดภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะ methotrexate ร่วมด้วย ผู้ป่วยที่ข้ออักเสบเป็นเรื้อรัง ควรแนะนําทํากายภาพบําบัดร่วมด้วยเสมอ
ปวดตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ
ให้ยา NSAIDs ร่วมกับการทํากายภาพบำบัด


ระบบกล้ามเนื้อ

ปวดกล้ามเนื้อ
ให้ยา NSAIDs
กล้ามเนื้ออักเสบ (myositis)
ให้รับประทาน prednisolone ในขนาดปานกลางถึงขนาดสูง แล้วแต่ความรุนแรงของอาการ ในรายที่เมื่อได้รับยาไปประมาณ 4-6 สัปดาห์แล้วยังตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี ควรพิจารณาเพิ่มยากดภูมิคุ้มกัน ร่วมกับการทํากายภาพบําบัด



ระบบหัวใจ


 เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ



ถ้ามีแต่อาการเจ็บหน้าอก ให้ใช้ยา NSAIDs ในกรณีที่มีนํ้าในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ ควรพิจารณาให้รับประทาน prednisolone ในขนาดปานกลาง (0.5 mg/kg/day) ในรายที่เยื่อหุ้มหัวใจหนามาก ควรพิจารณาตัดเยื่อหุ้มหัวใจออก(pericardiectomy)

กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
เยื่อบุหัวใจหรือลิ้นหัวใจอักเสบ
หลอดเลือดหัวใจ coronary อักเสบ
ใช้ Corticosteroids ในขนาดสูงในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตอบ สนองไม่ดีเท่าที่ควรภายใน 4 สัปดาห์ ควรให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclophosphamide, azathioprine หรือ methotrexate ร่วมด้วยในรายที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวให้ทําการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย




ระบบประสาท

มีอาการชัก
ให้ยากันชักร่วมด้วย
มีภาวะทางจิต
ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ร่วมกับการให้ยาทางโรคจิต เช่น Phenobarbital หรือ dipheylhydantoin
ภาวะไขสันหลังอักเสบ
(transverse myelitis)
ให้ยา intravenous pulse Corticosteroids หรือเทียบเท่า และควรให้การรักษาแบบรีบด่วนทันที ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 2 สัปดาห์ ควรพิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกัน (ควรให้เป็น intravenous pulse)




อาการตามระบบ
พยาธิสภาพ
การรักษา




ระบบทางเดินอาหาร

เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (serositis)
ให้การรักษาด้วยยา NSAIDsหรือ Corticosteroids ในขนาดตํ่าหรือปานกลางแล้วแต่ความรุนแรง
ตับอ่อนอักเสบ

ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง และให้การรักษาภาวะตับอ่อนอักเสบร่วมด้วย
เส้นเลือดทางเดินอาหารอักเสบ (mesenteric vasculities)

ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่ไม่ตอบ สนองต่อการรักษาภายใน 1-2 สัปดาห์ ให้พิจารณา ให้ยากดภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะยา cyclophosphamide ทางหลอดเลือดดําร่วมด้วย ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนลําไส้ตายจากการขาดเลือด ต้องอาศัยการผ่าตัดร่วมด้วย
ตับอักเสบ (hepatitis)

ให้รักษาด้วย Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรืออาการรุนแรงอาจพิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกันร่วมด้วย







ระบบไต

Lupus nephritis แบ่งเป็น3กลุ่ม
1. Mild มี proteinuria น้อยกว่า 1 g/24 hrs, inactive urine sediment, การทํ างานของไตปกติ (serum creatinine < 1.5 mg/dL) ความดันโลหิตปกติ

ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่จําเป็นต้องให้การรักษาในด้านของโรคไต แต่จําเป็นต้องคอยติดตามผู้ป่วยเป็นระยะ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงของพยาธิสภาพของไต(transformation) ได้
2. Moderate (proteinuria มากกว่า 1 g/24 hrs, การทํ างานของไตปกติ) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการเลือกวิธีรักษามากที่สุด
ควรให้การรักษาวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
สเตียรอยด์ในขนาดสูง (prednisolone 1 mg/kg/day หรือ 40-60 mg /day) เป็นเวลา 4-8 สัปดาห์หรือ
-   Prednisolone 0.5 mg/kg/day หรือ 30 - 40 mg /day ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น azathioprine,
cyclophosphamide เป็นเวลา 4 - 8 สัปดาห์
3. Severe active lupus nephritis ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการทํางานของไตเสื่อมลง (serum Cr > 1.5 mg/dL) ร่วมกับมีactive urinary sediment, proteinuria > 1 กรัม/24 ชม. และมักมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยพยาธิสภาพของไต
จํ าเป็นต้องรักษาอย่างเต็มที่และรวดเร็วที่สุด ก่อนที่จะมีการทําลายเนื้อไตมากยิ่งขึ้นไปอีกและเกิดเป็นพยาธิสภาพที่ถาวรแก้ไขไม่ได้ โดยการให้ pulse intravenous cyclophosphamide ร่วมกับ prednisolone ขนาดปานกลาง (0.5 mg/kg/day) ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ควรส่งต่อผู้ป่วยหรือขอคําปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
 


  
อาการตามระบบ
พยาธิสภาพ
การรักษา









ระบบเลือด
Hemolytic anemia

1. ผู้ป่วยที่มี Hb<10 g/dL ให้รับประทาน prednisolone เริ่มต้นในขนาด 1 mg/kg/day ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษา ให้เริ่มลดยาเมื่อ Hb > 10 g/dL โดยลดยาในอัตรา 5-10 mg/wks ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีความจําเป็นต้องคงระดับของยาขนาดตํ่าเช่น 10 mg/day อยู่เป็นระยะเวลาหลายเดือน เพื่อรักษาระดับ Hb ตามเป้าหมาย
2. การให้เลือด พิจารณาในกรณีที่มีปัญหาจากโลหิตจางรุนแรง ได้แก่ โลหิตจางรุนแรง เช่น Hb<4 g/dL หรือมีcerebro หรือ cardiovascular problems เช่น CHF, การเปลี่ยนแปลงในระดับของรู้สติ เป็นต้น รูปแบบของเลือดที่ให้คือ packed red cells ให้ครั้งละ 1 -2 ยูนิต โดยให้ช้า ๆ และเฝ้าระวังปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น
Autoimmune thrombocytopenia

1. กรณีที่เกร็ดเลือด < 50,000/mm3 หรือมีปัญหา traumatic bleeding หรือจําเป็นต้องได้รับการผ่าตัดให้prednisolone ขนาด 1 mg/kg/day ซึ่งอัตราการตอบสนองประมาณร้อยละ 80 เกิดขึ้นภายใน 3 สัปดาห์ เป้าหมายการรักษาอยู่ที่ระดับเกร็ดเลือด >50,000/mm3 ซึ่งเมื่อถึงเป้าหมายให้ลดยาลงในอัตรา 5-10 mg/wks ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีความจําเป็นต้องคงระดับของยาในขนาดตํ่า เช่น 10 mg/day อยู่เป็นระยะหลายเดือน เพื่อรักษาระดับเกร็ดเลือดตามเป้าหมาย ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อ Corticosteroids อาจจะพิจารณา azathioprine หรือ cyclophosphamide ในขนาด 1-2 mg/kg/day เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งอาจจะใช้ร่วมกับ prednisolone ในขนาดตํ่า ๆ
2. กรณีที่เกร็ดเลือด < 10,000/mm3 ต้องรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยมี fresh purpura หรือมีmucosal bleeding ร่วมด้วย ซึ่งการรักษาเริ่มต้นควรใช้ dexamethasone 5 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดําทุก 6 ชม. จนระดับเกร็ดเลือดเพิ่มขึ้น จึงเปลี่ยนเป็น prednisolone ดังกล่าวข้างต้น
3. ผู้ป่วยที่มีเลือดออกรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น เลือดออกในสมอง เลือดออกมาก ควรรับไว้ในโรงพยาบาล ให้ dexamethasone
5-10 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดําทุก 6 ชม. หรือ pulse methylprednisolone ร่วมกับการให้เกร็ดเลือดอย่างน้อย 4 ยูนิต แล้วส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อ


ปอดอักเสบและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
ให้ Corticosteroids ในขนาดสูง ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะ pulmonary hemorrhage หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา ให้พิจารณาให้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclophosphamide หรือ azathioprine ร่วมด้วย
ภาวะ interstitial lung disease

ถ้ายังมีการอักเสบอยู่ ให้รักษาโดยการให้ Corticosteroids ในขนาดปานกลางร่วมกับ antimalarial drugs หรือยากดภูมิคุ้มกัน เช่น azathioprine หรือ cyclophophamide